อิทธิพลจาก Tump Trade ส่งผลต่อตลาดการเงิน
อย่างที่ทุกคนคงทราบกันดีว่า หลังจากที่ทรัมป์ประกาศชัยชนะการเลือกตั้ง ราคาทองคำที่เคยอยู่ราวๆ 2800 ดอลลาร์ ได้ร่วงลงอย่างรุนแรงทันที จนไปถึงที่ระดับ 2650 ดอลลาร์
สามารถกล่าวได้ว่าราคาทองคำที่เคยพุ่งสูงขึ้นอาจกลายเป็นเรื่องในอดีต และก่อนที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต การปรับฐานในระยะยาวอาจเป็นเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นสูง
ในบริบทนี้ การชนะเลือกตั้งของทรัมป์เป็นสาเหตุที่ชัดเจนที่สุด แต่ในเชิงลึกแล้ว ราคาทองคำในรอบนี้ได้ปรับตัวขึ้นไปมากพอสมควร วันนี้จะพูดถึงโอกาสในการจัดสรรทองคำและสินทรัพย์อื่น ๆ จากมุมมองทั้งด้านพื้นฐานและด้านเทคนิค
1. ด้านพื้นฐาน
หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง การตอบสนองของตลาด เห็นได้ชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนหน้านี้ค่าเงินเยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลุดลงต่ำกว่า 140 บาท หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น แต่ไม่นานนักเงินเยนก็กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนสิงหาคม ขณะที่ค่าเงินยูโรต่อดอลลาร์ก็ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
สาเหตุเบื้องหลังนี้ ก็คือ การที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
เนื่องจากความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างดอลลาร์สหรัฐและทองคำ การแข็งค่าของดอลลาร์จึงส่งผลกดดันต่อราคาทองคำ ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงในเมื่อวานนี้
ดังนั้น ในระยะสั้นราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงเพิ่มเติม แนะนำให้เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ เมื่อทำการซื้อขายทองคำ เช่น โบรกเกอร์ EBC ที่มีสเปรดทองคำอยู่ในช่วง 1.6-1.9 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่าง 2.8-3.2 และดอกเบี้ยข้ามคืนอยู่ที่ 10-12 ดอลลาร์ต่อล็อต ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเช่นกัน ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำจะช่วยให้เราปรับกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สาเหตุที่ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นนั้น สามารถพิจารณาได้จากนโยบายหลักของพรรครีพับลิกัน ซึ่งครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่ ภาษี การค้า การย้ายถิ่นฐาน การดูแลสุขภาพ พลังงาน ที่อยู่อาศัย นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ฯ และความมั่นคงของประเทศ
เหตุผลนี้สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ คือ เมื่อทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่ง มาตรการแรก คือ การลดภาษี ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมาธนาคารกลางสหรัฐ ฯ ได้มีการปรับนโยบายอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อความคาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อ ดังนั้นหากเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็มักจะได้รับผลดีตามมา
ในอีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯ มีแผนที่จะปรับเพิ่มภาษีศุลกากรและส่งเสริมการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ จากมุมมองทางเศรษฐศาสตร์มาตรการเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะลดสภาพคล่องของดอลลาร์ในตลาด และยังช่วยลดดุลการค้าขาดดุลของสหรัฐฯ ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้จะส่งผลให้เกิดแรงกดดันเงินเฟ้อ และเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับค่าเงินดอลลาร์
นี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ทรัมป์กำลังพยายามผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น ดังนั้น การที่ดอลลาร์จะยังคงแข็งค่าในระยะกลางและระยะยาวนั้น จึงไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้มุมมองต่อทองคำในระยะสั้นยังคงเป็นลบ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินทรัพย์หนึ่งที่สามารถได้รับประโยชน์จากทั้งสองปัจจัยนี้ได้ นั่นคือ ตลาดหุ้น
ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีหรือการส่งเสริมการกลับมาของอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทั้งสองมาตรการนี้ต่างเป็นผลดีต่อธุรกิจในสหรัฐฯ นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วยังช่วยลดต้นทุนในการกู้ยืมของธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้การขยายตัวของธุรกิจเป็นไปได้ง่ายขึ้นและเพิ่มมูลค่าหุ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น โอกาสในตลาดหุ้นจึงยังคงมีความน่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) เปิดตลาดด้วยการกระโดดขึ้นสูงทันทีจากการปิดตลาดในวันก่อนหน้า
เมื่อไม่นานมานี้ EBC ได้ดำเนินการเสริมสภาพคล่องให้กับดัชนีหุ้นที่ได้รับความนิยมในตลาดสหรัฐฯ โดยทำให้สเปรดของดัชนีหุ้นสามตัวหลักลดลงจนถึงระดับต่ำสุดในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสเปรดของดัชนี Nasdaq ที่ลดลงถึง 85% ซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมในการเทรดดีขึ้นสำหรับผู้ที่เข้าร่วมตลาดหุ้น หากท่านสนใจสามารถติดตามข้อมูลจาก EBC ได้
2. ด้านเทคนิค
ก่อนหน้านี้ ผมเคยมีความตั้งใจที่จะทำการขายทองคำหลายครั้ง แต่ก็ต้องออกจากการเทรดไปด้วยความเสียดาย หลังจากนั้น ผมได้ลองใช้เครื่องมือ Order Flow ของ EBC พบว่ามีคำสั่งซื้อวางอยู่เต็มไปหมด จึงตัดสินใจหยุดการพยายามขายทองคำลง
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พบว่าในตลาดมีคำสั่งขายอยู่ในระดับสูง และทองคำก็เริ่มมีสัญญาณอ่อนแรง จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการขายทองคำ
เหตุผลที่ผมได้พยายามทำการขายชอร์ตหลายครั้งนั้น นอกจากคำสั่งขายที่ปรากฏในตลาดแล้ว ยังมาจากการที่ราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอีกด้วย
คุณสามารถเปรียบเทียบกับกราฟนี้ ที่ผมได้ตั้งค่าเส้นค่าเฉลี่ย 87 ชั่วโมงและ 250 ชั่วโมง ซึ่งเส้น 87 ชั่วโมงสะท้อนแนวโน้มในระยะกลางและระยะสั้น ส่วนเส้น 250 ชั่วโมงแสดงถึงแนวโน้มในระยะยาว หากสังเกตดีๆ จุดเริ่มต้นของการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาล่าสุดเกิดขึ้นที่จุดที่ทั้งสองเส้นค่าเฉลี่ยนี้ตัดกัน
ทุกครั้งที่ตลาดเคลื่อนตัวออกห่างจากเส้นค่าเฉลี่ย 87 ชั่วโมงและ 250 ชั่วโมงอย่างมีนัยสำคัญ จะเกิดการปรับตัวกลับมาที่บริเวณใกล้เคียง ก่อนที่จะสามารถขึ้นต่อได้ แต่หากพิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน ทองคำได้เคลื่อนที่ออกห่างจากทั้งสองเส้นค่าเฉลี่ยอย่างมาก การปรับตัวในครั้งนี้จึงถือเป็นการปรับฐานที่ใกล้เคียงกับจุดวิกฤต และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม
อีกหนึ่งข้อพิสูจน์ที่สำคัญคือ เมื่อการเคลื่อนไหวของตลาดเข้าสู่เดือนตุลาคม ตลาดได้แสดงรูปแบบการกลับตัวในลักษณะของ Bearish Harmonic Pattern ซึ่งผลการคำนวณของผมได้แสดงถึงการขยายตัวที่ประมาณ 2.28 เท่า การเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ถือว่าเกินความคาดหมายอย่างมาก และได้สร้างปัจจัยที่เป็นการเตรียมการสำหรับการลดลงในอนาคต
จากการวิเคราะห์การกระจายคำสั่งซื้อขายในเครื่องมือ Order Flow ของ EBC พบว่ามีการสะสมคำสั่งทั้งฝั่งซื้อและขายอยู่ที่ระดับ 2750 ดอลลาร์ และในที่สุดก็มีการตัดสินใจปล่อยคำสั่งออกไป ทำให้เกิดการสะสมคำสั่งที่ด้านล่างอย่างหนาแน่น ก่อนที่จะเลือกทิศทาง ซึ่งการเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาลงน่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลในเครื่องมือ Order Flow ของ EBC พบว่า ระดับ 2700/2730 ดอลลาร์เป็นจุดที่มีแนวต้านแข็งแกร่ง ส่วนที่ระดับ 2630 ดอลลาร์จะมีแนวรับที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับแนวต้านที่ระดับสูง การขายที่ระดับต่ำยังคงกดดันต่อเนื่องก่อนที่คำสั่งซื้อจะเริ่มสะสมเพิ่มขึ้น
จากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ผมเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำจะเคลื่อนไปถึงระดับประมาณ 2560 ดอลลาร์ หากสถานการณ์ยังคงอ่อนแออยู่ ก็อาจจะลงไปถึง 2320 ดอลลาร์ในกรณีที่สถานการณ์รุนแรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปแล้ว ราคาทองคำที่ต่ำกว่า 2000 ดอลลาร์ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศและสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค ซึ่งต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
คุณยังสามารถใช้เครื่องมือ Order Flow ใน EBC เพื่อติดตามคำสั่งซื้อขายและการกระจายของคำสั่งซื้อ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจทิศทางการไหลของเงินทุนหลัก ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเทรดทองคำ, ตลาดหุ้น, และฟอเร็กซ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น