หุ้นกับดัชนีหุ้นต่างกันอย่างไร

ช่วงนี้ตลาดหุ้นขึ้นหลายตัวทั้งในประเทศ และนอกประเทศ หลายๆ คนสนใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นใน หุ้น ทองคำ หรือว่า Forex  เพื่อนๆ บางท่านถึงกับส่งข้อความมาหาผมเพื่อขอแนวทางการลงทุน

ช่วงนี้ผมแนะนำให้ลงทุนใน หุ้น CFD หรือดัชนีหุ้น เพราะตอนนี้หุ้นหลายๆ ตัวกำลังขึ้น และยังมีอีกหลายกลุ่มที่ใกล้ที่จะขึ้น อีกทั้งตอนนี้โบรกเกอร์ EBC มีการลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น CFD ลงถึง 85% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ไม่มีเงินทุนสูงมากนัก และสนใจลงทุนในดัชนีหุ้น นี่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือก โบรกเกอร์ Forex


1 ทำไมต้องเทรดในดัชนีหุ้น

ต่างจากการซื้อหุ้นเดี่ยวๆ ยังไง

คำตอบก็คือ การซื้อดัชนีหุ้น คือการซื้อหุ้นเดี่ยว หลายๆ ตัวในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือเข้าใจได้ว่าเราซื้อกองทุนในอุตสาหกรรมนั้นๆ นอกจากนั้น ดัชนีหุ้นยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเลือกซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว

ที่นี่เราก็ต้องดูว่าหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรมมีลักษณะเป็นอย่างไร หุ้นแต่ละตัวเองก็ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชื่อเสียงของบริษัท วัฏจักรเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด การเลือกหุ้นจึงไม่ใช่แค่การลงทุน ต้องมีความเชื่อมั่นในบริษัทที่เลือกด้วย

ดังนั้นการเลือกหุ้นก่อนซื้อขายเป็นเรื่องสำคัญมาก

แล้วเราจะเลือกลงทุนในหุ้นหรือดัชนีหุ้น? 

ผมขอยกตัวอย่าง จากประเทศสหรัฐฯ ที่มีหุ้นกว่า 7,000 ตัว แม้เราจะเลือกจากอุตสาหกรรมยอดนิยม ก็ยังเหลือให้เลือกอีกเป็นหลายสิบตัว ถ้าต้องนั่งวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัททุกตัวก็เป็นเรื่องอยากสำหรับมือใหม่ 

ดังนั้นจึงเกิดแต่ดัชนีหุ้นขึ้นมา ซึ่งดัชนีหุ้น หรือว่า หุ้น CFD สะท้อนภาพรวมของตลาดในภาคธุรกิจนั้นๆ โดยส่วนใหญ่ดัชนีหุ้นมักจะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ยกเว้นจะเกิดเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือเกิดการ disturb ในอุตสาหกรรม และตลาดหุ้นจึงถือเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง

นอกจากนี้ ดัชนีเหล่านี้จะขึ้นหรือลง ก็ดูจากหุ้นรายตัว หากหุ้นรายตัวใหญ่ๆ ลดลง ดัชนีก็จะลดลงเช่นกัน

สรุปง่าย ๆ คือ คุณสามารถติดตามแนวโน้มของตลาดได้ด้วยดัชนีเดียว ไม่ต้องถือหุ้นเป็นรายตัวก็สามารถเข้าใจทิศทางของตลาดได้


2. ใช้ประโยชน์จากเงินทุนได้ดียิ่งขึ้น

ข้อดีอีกอย่างของการเทรดหุ้น CFD คือมีเลเวอเรจสูงกว่าการลงทุนในหุ้นตัวเดียว 

ปกติแล้วตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะให้เลเวอเรจแค่ 2-3 เท่า หรือสูงสุดประมาณ 10 เท่า ทำให้คุณไม่สามารถทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่เลเวอเรจของดัชนีหุ้นสูงกว่านั้น ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ EBC ให้เลเวอเรจสูงสุดที่ 100:1 สำหรับดัชนีหุ้น CFD

หุ้น CFD ในเว็ป EBC Financial Group


บางคนอาจสงสัยว่า เราสามารถใช้เลเวอเรจได้สูงกว่านี้หรือไม่? ........ผมไม่แนะนำ

หากคุณรู้จักกฎ MiFID II จะรู้ว่ามีการกำหนดเลเวอเรจไว้สูงมากในดัชนีหุ้น การซื้อขายอย่างเหมาะสม 100 เท่าถือว่าสูงแล้ว ถ้ามากกว่านี้ เช่น 200 เท่าขึ้นไป คุณต้องคุมความเสี่ยงให้อยู่ มิเช่นนั้นอาจะทำให้พอร์ตแตก


3. ต้องใส่ใจเรื่องสภาพคล่องด้วย

นอกจากค่าธรรมเนียมแล้ว คุณควรใส่ใจเรื่องสภาพคล่องของโบรกเกอร์ด้วย

การซื้อขายต้องพึ่งสภาพคล่อง เพราะมันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดำเนินคำสั่งซื้อ และเราที่ได้รับ คุณต้องวิเคราะห์จากข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่โฆษณา

ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ EBC Financial Group แสดงให้เห็นถึงความลึกของตลาดแบบเรียลไทม์ เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีการเสนอราคาใน 5 ระดับ

ราคาแบบเรียลไทม์ของผลิตภัณฑ์ EBC

หมายความว่าแพลตฟอร์ม EBC มีสภาพคล่องดีกว่าแพลตฟอร์มทั่วไป ทำให้คุณได้ราคาที่ดีกว่า


สรุป

ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้ถึงรอบการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก การเข้าตลาดหุ้นต้องใช้ความเข้าใจอย่างสูง ดังนั้นการเริ่มจากการวิเคราะห์ภาพรวมตลาดผ่านดัชนีหุ้นอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การถือครองทองคำของแต่ละหน่วยงานแตกต่างกันอย่างไร?

ช่วงนี้ตลาดผันผวน เทรดยากขึ้น ทำอย่างไรให้ดี?

เครื่องมือ Pending Order ใน Order Flow