5 วิธีเลือกโบรกเกอร์ Forex อย่างปลอดภัย

จากกระแสข่าว ของThe icon group ทำให้ผมมองย้อนกลับตอนที่ เกิดเหตุการณ์ การฉ้อโกงจาก Forex 3D  ตอนนั้นมีผู้เสียหายจำนวนมาก ดังนั้นผมอยากให้เทรดเดอร์ หรือนักลงทุนทุกท่านได้คำนึงถึงความปลอดภัยของเงินทุนเป็นหลัก

และ 5 วิธีง่ายๆ ที่ผมจะมาแชร์ และไม่ทำให้คุณตกเป็นเหยื่อให้กับกลโกงใน แพลตฟอร์ม Forex หรือ การลงทุนอื่นๆ มีดังต่อไปนี้ 

1. การกำกับดูแลโดยหน่วยงานระดับสูงสุด

2. การจัดเก็บเงินทุนแยกบัญชี

3. ราคาที่โปร่งใส

4. ความไวในการฝากถอนเงิน

5. การรับประกันความปลอดภัยทางการเงินในหลายรูปแบบ

ต้องมีครบ 5 ข้อนี้:

1. หน่วยงานกำกับดูแลโบรกเกอร์ Forex หากไม่มีการกำกับดูแล ข้ออื่น ๆ ก็ไม่มีความหมาย

2. มีการกำกับดูแลระดับสูงจะปลอดภัยจริงหรือ?

ก็ไม่เสมอไป ถ้าเงินทุนของคุณไม่ได้ถูกเก็บในธนาคารที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล เงินของคุณก็อาจจะถูกย้ายไปหน่วยงาน หรือธนาคารที่ไม่ได้รับการรองรับอื่นๆ

3. ราคาต้องมีความโปร่งใส หากมีความคลาดเคลื่อนราคา (Slippage) บ่อย ๆ อาจจะแสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์ของโบรกเกอร์?

4. ถ้าไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ ต่อให้คุณคาดการณ์ตลาดได้ถูกต้องสักกี่ครั้ง กำไรที่ได้ก็เท่ากับ 0 ?

5. การรับประกันความปลอดภัยทางการเงินต่างๆ จำเป็นหรือไม่? หากเกิดเหตุการณ์เช่น Black Swan ในปี 2015 ของฟรังก์สวิส คุณสามารถรับความเสี่ยงแบบนี้ได้หรือไม่? หากไม่มีการซื้อประกัน PI  แพลตฟอร์มนั้นอาจไม่ถูกต้องตามกฎหมาย?


แล้วเราจะเลือกแพลตฟอร์มจาก 5 ข้อนี้ได้อย่างไร?

1. การกำกับดูแลโดยหน่วยงานระดับสูง

พูดแบบตรงไปตรงมา หากแพลตฟอร์มไหนไม่มีใบอนุญาตจาก FCA ของอังกฤษ, ASIC ของออสเตรเลีย, NFA ของสหรัฐฯ หรือ FINMA ของสวิตเซอร์แลนด์ ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับการกำกับดูแลในระดับสูง

นี่ไม่ใช่เพียงข้อกล่าวหาแต่อย่างใด แพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตจากองค์กรเหล่านี้ถือว่ามีมาตรฐานการกำกับดูแลสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FCA ของอังกฤษ ดังนั้นแพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตจากองค์กรเหล่านี้มักจะเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยที่สุด

แต่แพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตจาก NFA ของสหรัฐฯ และ FINMA ของสวิตเซอร์แลนด์มีค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะ NFA ที่ไม่อนุญาตให้เปิดตลาดในต่างประเทศได้ นอกจากประเทศสหรัฐฯ ดังนั้นผมจึงมองว่าการกำกับดูแลระดับสูงคือ FCA ของอังกฤษและ ASIC ของออสเตรเลีย

นอกจากนี้ ไม่มีโบรกเกอร์ใดที่มีใบอนุญาตครบทั้ง 4 หน่วยงาน หากโบรกเกอร์ไหนอ้างเช่นนี้ นั่นอาจจะเป็นโบรกเกอร์หลอกลวง

ด้านเลเวอเรจ นอกจาก FCA ของอังกฤษที่สามารถให้เลเวอเรจ 100 เท่าสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ โบรกเกอร์อื่น ๆ มักจะให้เลเวอเรจประมาณ 30 เท่าเท่านั้น หากต้องการเลเวอเรจที่สูงกว่านี้ ก็ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของประเทศที่อยู่นอกอาณาเขต (Offshore)

เช่น การกำกับดูแล Offshore ที่ดีได้แก่ CIMA ของหมู่เกาะเคย์แมน และ CySEC ของไซปรัส โดยเฉพาะ CIMA ของหมู่เกาะเคย์แมน เพราะใช้กฎหมายเดียวกับ FCA ของอังกฤษ ดังนั้นผมถือว่าใบอนุญาตงานหน่วยงานเหล่านี้ถือเป็นหน่วยงานที่ได้รับมาตรฐาน

โบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลระดับสูงมักจะมีใบอนุญาตจาก FCA ของอังกฤษหรือ ASIC ของออสเตรเลีย รวมกับ CIMA ของหมู่เกาะเคย์แมนหรือ CySEC ของไซปรัส

เช่น โบรกเกอร์ EBC ที่ผมใช้อยู่มีใบอนุญาตจาก FCA ของอังกฤษ, ASIC ของออสเตรเลีย และ CIMA ของหมู่เกาะเคย์แมน ซึ่งตอบโจทย์เรื่องการกำกับดูแลระดับสูง

ใบอนุญาตกำกับดูแลของโบรกเกอร์

นอกจากนี้  EBC ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่โบรกในอุตสาหกรรมที่สามารถเปิดบัญชี FCA ที่มีเลเวอเรจ 100 เท่าได้ หากคุณให้ความสำคัญทั้งในเรื่องเลเวอเรจและการกำกับดูแล โบรกเกอร์ EBC ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี


2. การแยกเก็บเงินทุน

ปัจจุบันนี้แทบทุกแพลตฟอร์มต่างอ้างว่าตนมีการแยกบัญชีเงินทุน แต่กลับไม่ให้รายละเอียดที่ชัดเจน เช่น:

1. เป็นธนาคารอะไร?

2. บัญชีแยกของธนาคารนั้นคืออะไร? ตรงกับบัญชีฝากเงินของเราหรือไม่?

หลายคนอาจคิดว่าขอแค่มีการแยกบัญชีก็พอแล้ว ธนาคารไหนไม่สำคัญ นั่นเป็นความคิดที่เสี่ยง เพราะหากเกิดความเสี่ยงทางระบบ ธนาคารขนาดกลางหรือเล็กอาจประสบปัญหาล้มละลาย แล้วเงินของคุณจะได้คืนเท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้

ดังนั้นโดยส่วนตัว ผมเลือกธนาคารที่มีระดับความปลอดภัย AAA ซึ่งหมายถึงธนาคารข้ามชาติที่มีระบบเสถียรภาพระดับโลก เช่น Barclays ของอังกฤษ, HSBC ของอังกฤษ และ JPMorgan Chase ของสหรัฐฯ ธนาคารเหล่านี้มีมาตรฐานระดับสูง เปิดบัญชีได้เฉพาะบริษัท Top เท่านั้น

ตัวอย่างเช่น ธนาคารที่ EBC Group ใช้เก็บเงินทุนคือ Barclays Bank ซึ่งมีข้อกำหนดให้บริษัทต้องมีรายได้และเงินฝากมากกว่า 6.5 ล้านปอนด์ และต้องผ่านการตรวจสอบทางการเงินและการตรวจสอบย้อนหลังอย่างเข้มงวด

Barclays Bank

นอกจากนี้ การกำกับดูแลของประเทศจะมีความเข้มงวดและครอบคลุมมากกว่าสำหรับธนาคารในประเทศนั้น ๆ เช่น FCA ของอังกฤษมีอำนาจกำกับดูแลและแทรกแซงธนาคารอย่าง Barclays และ HSBC ได้โดยตรง

อย่างไรก็ตาม การที่โบรกเกอร์เปิดบัญชีกับธนาคารชั้นนำได้ หมายความว่าเงินทุนของคุณจะปลอดภัย เพราะหากเงินของคุณไม่ได้ถูกฝากในบัญชีนั้น แต่ถูกย้ายไปยังธนาคารที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล เงินของคุณจะถูกถอนออกได้ตอนไหนก็ได้ หากโบรกเกอร์หลบหนี คุณก็จะล้มละลายทันที

ดังนั้น คุณควรมั่นใจว่าบัญชีฝากเงินของคุณตรงกับบัญชีแยกเก็บเงินทุนหรือไม่ ตัวอย่างเช่น EBC Group ได้เปิดเผยบัญชีของตนกับ Barclays Bank และนักลงทุนสามารถตรวจสอบกับธนาคารได้

ธนาคาร Barclays


3. เสนอราคาอย่างโปร่งใส

หากคุณได้ตรวจสอบตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ความปลอดภัยของเงินทุนของคุณก็จะได้รับการคุ้มครองในระดับหนึ่ง

แต่นั่นยังไม่ใช่ความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ เพราะแม้ว่าธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลจะเฝ้าติดตามพฤติกรรมที่ผิดปกติ แต่บางโบรกเกอร์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็อาจแอบสร้าง slippage เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับโบรก และอาจส่งผลกระทบต่อการเทรดและความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ ในช่วงเวลาที่มีความเคลื่อนไหว หรือความผันผวนสูง

ดังนั้น ความโปร่งใสของการเสนอราคาจึงมีความสำคัญมาก

แพลตฟอร์มที่มีความโปร่งใสในการเสนอราคาจะมีการแสดงค่าสเปรด (spread) แบบเรียลไทม์ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสเปรด เนื่องจากขาดสภาพคล่อง คุณก็จะสามารถเห็นได้ทันที เพื่อช่วยในการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมการซื้อขายหรือไม่

ตัวอย่างเช่น EBC Group ได้นำเสนอการเสนอราคาแบบเรียลไทม์บนเว็บไซต์ ซึ่งทำให้คุณสามารถเห็นสภาพคล่องในตลาดได้อย่างชัดเจน

 

ราคาผลิตภัณฑ์ EBC

4. การฝาก-ถอนที่รวดเร็ว

หากถ้าคุณทำตามขั้นตอนข้างต้นมาได้ครบ การฝาก-ถอนก็คงไม่มีปัญหาอะไร

เช่นเดียวกับที่ผมได้กล่าวไปตั้งแต่ต้น ความปลอดภัยของเงินทุนสำคัญที่สุด

ขั้นตอนสุดท้ายในการรักษาความปลอดภัยของเงินทุนคือ การที่คุณจะสามารถถอนเงินออกมาได้สำเร็จหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับประสบการณ์การฝาก-ถอน จากประสบการณ์ของผม หากการฝากเงินไม่สามารถทำได้ภายใน 24 ชั่วโมง และการถอนเงินไม่สามารถทำได้ภายใน 72 ชั่วโมง (ไม่นับวันหยุดทำการ) คุณควรระวัง

สำหรับแพลตฟอร์มที่มีการฝาก-ถอนที่รวดเร็ว อย่างเช่น โบรกเกอร์ EBC  ในวันที่ทำการ หากฝากก่อน 15:00 น. โดยทั่วไปจะใช้เวลาเพียง 10 นาที และการถอนใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทำให้คุณรับเงินได้อย่างรวดเร็ว


5. การคุ้มครองที่หลากหลาย

สุดท้ายนี้ อาจดูเหมือนไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องขึ้น คุณจะรู้ว่าสิ่งนี้มีความสำคัญต่อการปกป้องเงินทุนของคุณมากแค่ไหน

การคุ้มครองที่เรารู้จักกันมากที่สุดน่าจะเป็นแผนการชดเชย FSCS ของ FCA ในอังกฤษ ซึ่งให้ความคุ้มครองสูงสุดถึง 85,000 ปอนด์ต่อผู้ใช้แต่ละคน แผนนี้มีบทบาทสำคัญมากในช่วงเหตุการณ์ Black Swan ของฟรังก์สวิส

จนถึงวันนี้ FCA ของอังกฤษจ่ายค่าชดเชยมากกว่า 500 ล้านปอนด์ต่อปี สิ่งนี้แสดงถึงความแข็งแกร่งในการคุ้มครองนักลงทุน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เราควรเลือกแพลตฟอร์มที่มี FCA

การคุ้มครองอื่นๆ ที่สำคัญยังรวมถึงการทำประกัน PI (Professional Indemnity Insurance)

การประกัน PI ได้รับการบังคับใช้โดย FCA และ ASIC ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุผลที่ผมบอกว่า หากแพลตฟอร์มไหนไม่มีการทำประกัน PI ก็ยากที่จะพูดได้ว่ามันเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกต้องตามกฎหมาย

นอกจากนี้ การประกัน PI ยังเสริมให้กับ FSCS เพราะมันครอบคลุมความสูญเสียที่เกิดจากการกระทำของแพลตฟอร์ม และมีวงเงินการชดเชยที่สูงมาก

เช่น โบรกเกอร์ EBC ซื้อประกันวงเงินมากกว่าสิบล้านดอลลาร์จาก Lloyd's และ Aon และเมื่อมีการเรียกใช้การชดเชย สูงสุดสามารถจ่ายได้ถึง 350,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อครั้ง ซึ่งครอบคลุมความเสี่ยงได้อย่างมาก


โดยสรุปแล้ว หากต้องการปกป้องความปลอดภัยของเงินทุน 5 ข้อนี้ขาดไม่ได้ เมื่อเราเลือกแพลตฟอร์ม เราควรใช้ความระมัดระวังและความอดทน เพราะการเริ่มต้นที่ดีนั้นทำให้เราสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การถือครองทองคำของแต่ละหน่วยงานแตกต่างกันอย่างไร?

ช่วงนี้ตลาดผันผวน เทรดยากขึ้น ทำอย่างไรให้ดี?

เครื่องมือ Pending Order ใน Order Flow