การวิเคราะห์ทางเทคนิค VS การวิเคราะห์ข่าว อะไรมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน?
มีการถกเถียงกันมานานแล้วว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานดีกว่ากัน
มีผู้เชี่ยวชาญด้านการเทรดอย่าง Schwartz ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่ ปัจจัยพื้นฐานไปจนถึงด้านเทคนิค และยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอย่าง Graham, Buffett และ Kostolani ที่ก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว
แต่มุมเรา ในฐานะเทรดเดอร์อาชีพ ช่วงสิบปีที่ผ่านมา มันยากนะที่จะบอกว่าอันไหนดีกว่าและอันไหนแย่กว่า เราคิดว่าทั้งสองมีบทบาทแตกต่างกัน ดังนั้นวันนี้เรามาสรุป 2 ประเด็นนี้กัน
1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค
หลายๆ คนคิดว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะการวาดกราฟเป็นมุมมองจากบุคคลหนึ่ง จึงมีคำถามว่าเราจะคาดการณ์ได้อย่างไร
ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น ในหนังสือ The Gartley Pattern ผู้เขียน Gartley ได้กล่าวไว้ว่าผู้คนมักจะวาดแนวโน้มและรูปแบบต่าง ๆ ตามกฎเกณฑ์ ซึ่งหมายถึง การวิเคราะห์ทางเทคนิค
คุณสามารถเข้าใจ การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือการทดสอบพฤติกรรมของมนุษย์
และเส้นแนวโน้มจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับมุมมองของตลาด ดังนั้น เทรดเดอร์จะต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้
แน่นอนว่าปัจจัยเหล่าสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ได้
กราฟ = จำนวนเงินลงทุน กล่าวคือ แรงซื้อและแรงขายไหนมีมากกว่า จะทำให้ราคามีแนวโน้มไปในทิศทางนั้น ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทราบถึงแรงซื้อขายนั้นๆ โดยใช้เครื่องมือ EBC Order Flow เพื่อวิเคราะห์กำลังซื้อขายนั้นๆ
เครื่องมือ EBC Order Flow จะแสดงปริมาณการซื้อขายในแต่ละราคาแบบเรียลไทม์ในทุกแท่ง K-line ตัวอย่างเช่น เมื่อเรามองเห็นการขายจำนวนมากที่จุดสูงสุด เราจะรู้ว่าตำแหน่งนี้ถึงจุดสูงสุดแล้ว และสามารถเปิดสถานะขายได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ เครื่องมือ EBC ยังมีเครื่องมือหลายอย่าง เช่น Cumulative Delta Chart, Imbalance Stacking, Volume Profile และ VMAP ขยายไปยังแถบ Standard Deviation ซึ่งช่วยให้เราประเมินแรงกดดันและการสนับสนุนที่จุดสำคัญได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ เราสามารถเข้าใจความรู้สึกของตลาดจากรูปแบบกราฟทางเทคนิคได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการยกจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าตลาดยอมรับว่าราคาสามารถสูงขึ้นต่อไปได้ ดังนั้น นี่คือช่วงสำคัญที่จะเปิดสถานะซื้อ
แต่เมื่อจุดสูงสุดและต่ำสุดเริ่มลดลง หมายความว่าแนวโน้มเริ่มอ่อนแอลง มีคนเริ่มขายที่จุดสูง ราคามีโอกาสที่จะลดลงในอนาคต หากคุณสามารถเข้าใจสัญญาณที่ซ่อนอยู่เหล่านี้ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำได้อย่างมาก
การวิเคราะห์ทางเทคนิคต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณเกิดพร้อมๆ กัน ความแม่นยำจะยิ่งสูงขึ้น แต่หากพลาดไปแล้ว โอกาสนั้นจะไม่กลับมาอีก ดังนั้นเราควรรอจนกว่าสัญญาณใหม่จะเกิดขึ้นและอย่าเข้าซื้อขายอย่างรอบคอบ
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีหลายแนวทาง คุณควรเลือกใช้ 1 ถึง 2 ก็เพียงพอแล้ว เพราะการใช้มากจนเกินไป อาจทำให้เราสับสนกับเทคนิคนั้นๆ
2. การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
คือ ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างข่าวและสินทรัพย์ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ การตัดสินใจของธนาคารกลาง และข่าวด่วน เป็นต้น
เมื่อเทียบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ข่าวมีผลกระทบต่อตลาดอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น หากธนาคารกลางสหรัฐเปลี่ยนนโยบายอย่างกระทันหัน นั่นจะส่งผลต่อทิศทางของตลาด ซึ่งจะทำให้เกิดแนวโน้มที่ใหญ่และอาจยาวนานหลายปี
ดังนั้น หากจะวิเคราะห์ตามข่าว จำเป็นต้องเข้าใจเหตุการณ์ ข้อมูล และผลกระทบที่มีต่อแนวโน้มของตลาด รวมถึงความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น น้ำมันดิบเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เป็นไปตามวัฏจักร และมีแนวโน้มที่จะขึ้นราคาเมื่อเศรษฐกิจดี ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและป้องกันเงินเฟ้อ ทองคำมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและ เศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น คุณต้องรู้เป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ของธนาคารกลางสหรัฐ และที่มา หากไม่เข้าใจสิ่งนี้ คุณจะไม่สามารถทำการซื้อขายตามข่าวได้
หากคุณยังเป็นมือใหม่ แนะนำให้ดู Oil Journal และ Gold Journal ของ EBC ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อสินทรัพย์ทั้งสองประเภทในมิติต่าง ๆ
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ตามความคาดหวังมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
การวิเคราะห์ความคาดหวัง พูดง่ายๆ ก็คือความหวังของนักลงทุนต่อตลาด ก่อนที่ข่าวจะถูกประกาศ ราคาตลาดก็ปรับไปแล้ว และเมื่อประกาศข่าว หากตรงกับความคาดหวัง ราคาตลาดก็จะไม่ผันผวนมากนัก นี่คือการ เทรดตามความคาดหวัง
"Gold Journal" ของ EBC กล่าวถึงผลกระทบของปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่มีต่อราคาทองคำในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา และมีการวิเคราะห์ที่คาดหวังไว้อย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามเชเชนครั้งแรก ราคาทองคำปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะตลาดได้ปรับตัวก่อนหน้านั้นไปแล้ว
อีกประเด็นที่หนึ่ง คือ การวิเคราะห์ข่าว ในช่วงก่อนที่ข้อมูลจะถูกประกาศ ตลาดจะจับตาดูการประกาศข้อมูล ดังนั้น เมื่อมีการประกาศ และคำสั่งซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ แพลตฟอร์มที่ สภาพคล่องที่ต่ำอาจทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าและ Slippage ดังนั้นการเลือกแพลตฟอร์มที่ไม่มีปัญหาทางด้านนี้เป็นสิ่งสำคัญ
ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม EBC มีการวางเซิร์ฟเวอร์ระดับ Tier 4 ทั่วโลกและเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่องชั้นนำมากกว่า 36 แห่ง และเสนอราคาด้วยความลึกถึง 5 ระดับ จึงสามารถรองรับคำสั่งซื้อขายในตลาดได้อย่างดี แม้ในช่วงที่เกิดแนวโน้มใหญ่ ๆ โดยแทบไม่มีปัญหา Slippage หรือความล่าช้า ทำให้สามารถจับโอกาสในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยรวมแล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานไม่มีวิธีใดที่ดีกว่ากัน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยหาจุดสำคัญเพื่อหาโอกาสในการซื้อขาย โดยการติดตามปริมาณการซื้อขายเพื่อเข้าใจอารมณ์ตลาด เหมาะสำหรับการซื้อขายระยะสั้น ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์และข่าวสาร และการวิเคราะห์ตามความคาดหวัง ซึ่งเหมาะกับแนวโน้มระยะยาว ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใด ทั้งสองวิธีมีความสัมพันธ์กัน และสามารถช่วยเสริมการทำธุรกรรมในตลาดได้อย่างมาก ดังนั้น การผสมผสานทั้งสองวิธีจะช่วยให้คุณเข้าใจตลาดได้ดีขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น