ลดต้นทุนการเทรด Forex ทำได้อย่างไร?

เมื่อต้องพูดถึงการเทรด เราไม่สามารถมองข้ามต้นทุนการเทรดไปได้  หากคุณเรียนรู้เทคนิคที่สามารถทำให้ต้นทุนต่ำได้ การทำกำไรของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก


1. เลือกแพลตฟอร์มที่มีต้นทุนต่ำ

นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยให้เน้นไปที่สองประเด็นหลัก คือ สเปรด(Spread)และดอกเบี้ยข้ามคืน(SWAP) หากคุณใช้บัญชี ECN สเปรดจะต่ำกว่า แต่ต้องคำนึงถึงค่าธรรมเนียมด้วย

การเปรียบเทียบว่าสเปรดและดอกเบี้ยข้ามคืนสูงหรือต่ำ ให้ดูจากการเปรียบเทียบกับมาตรฐานในอุตสาหกรรม

ยกตัวอย่างทองคำ จากการสังเกตของผม ปัจจุบันสเปรดทองคำอยู่ที่ประมาณ 2.8-3.2 ดอกเบี้ยข้ามคืนอยู่ที่ -18 ถึง -23 ดอลลาร์ต่อ Lot ส่วนบัญชี ECN ค่าธรรมเนียมทั่วไปอยู่ที่ 8-10 ดอลลาร์ต่อ Lot หากต่ำกว่าระดับนี้ ก็ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่มีต้นทุนต่ำมาก

แพลตฟอร์มที่ผมแนะนำคือ EBC Group และ IC:

① EBC Group มีสเปรดทองคำอยู่ที่ 1.8-1.9 ดอกเบี้ยข้ามคืนอยู่ที่ประมาณ 10-12 ดอลลาร์ต่อ Lot บัญชี ECN สเปรดทองคำต่ำสุดอยู่ที่ 0.6 ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 6 ดอลลาร์ต่อ Lot

② IC มีสเปรดทองคำอยู่ที่ประมาณ 2 ดอลลาร์ ดอกเบี้ยข้ามคืนอยู่ที่ประมาณ 12 ดอลลาร์ต่อ Lot บัญชี ECN ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 7 ดอลลาร์ต่อ Lot

สิ่งที่ควรระวังเพิ่มเติมคือ หากแพลตฟอร์มมีสภาพคล่องไม่ดี แต่สเปรดและดอกเบี้ยข้ามคืนต่ำมาก คุณต้องระมัดระวัง อาจเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะสภาพคล่องมีผลต่อความลึกของราคาและปริมาณคำสั่งที่สามารถทำการเทรดได้

แพลตฟอร์มที่มีสภาพคล่องดีมักจะมีความร่วมมือกับธนาคารชั้นนำ เช่น EBC Group ซึ่งเชื่อมต่อกับธนาคารชั้นนำและผู้ให้บริการสภาพคล่องกว่า 36 ราย และมีความลึกของราคาห้าระดับ ทำให้สามารถเสนอราคาที่ดีได้


2. ลดความถี่ในการเทรด

เนื่องจากทุกครั้งที่มีการเทรดจะมีค่าใช้จ่ายจากสเปรด เราสามารถลดต้นทุนการเทรดได้โดยการลดความถี่ในการเทรด

แม้ว่าฟังดูง่าย แต่ในความเป็นจริง นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยในหมู่นักเทรดหลายคนที่มักจะไล่ตามราคาขึ้นลงเล็กน้อย ทำให้ซื้อขายบ่อยเกินไป ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงต่อการขาดทุนแล้ว ยังทำให้เกิดต้นทุนการเทรดซ้ำซาก

จากประสบการณ์ของผม สิ่งสำคัญคือต้องตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ให้ดี เว้นแต่จะถูกตัดขาดทุนตามคำสั่ง โดยทั่วไปต้องถือสถานะอย่างน้อย 2 ชั่วโมงขึ้นไปถึงจะเห็นแนวโน้มที่ชัดเจน การมีวินัยเช่นนี้ควรปลูกฝังตั้งแต่เนิ่น ๆ นักเทรดที่ดีมักจะดูกราฟแค่ 1-3 วันครั้ง

เราควรให้ความสนใจกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เช่น เมื่อราคาขึ้นถึงจุดสูงสุดของช่วงหนึ่งและมีสัญญาณการทะลุแนวต้านอย่างชัดเจน ก็สามารถตั้งจุดตัดขาดทุนและเทรดตามแนวโน้มได้

แน่นอนว่าเราสามารถใช้เครื่องมือช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรดได้ เราทราบดีว่าตลาดคือการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย ทิศทางราคาจะถูกกำหนดโดยฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่า ดังนั้นผมมักจะใช้เครื่องมือดูคำสั่งซื้อขายของ EBC เพื่อตรวจสอบการกระจายตัวของออเดอร์ในตลาด

ในเครื่องมือ Order Flow ของ EBC หากแรงซื้อมีมากกว่า ในจุดที่ราคาทะลุแนวต้าน จำนวนฝั่งซื้อ/ขาย > 3 หากเกิดซ้ำกันสามครั้งขึ้นไป จะเป็นสัญญาณบ่งชี้การสะสมที่ไม่สมดุลของแรงซื้อ ซึ่งเป็นสัญญาณการทะลุที่ชัดเจน การเข้าสู่ตลาดในจุดสำคัญสามารถลดความถี่ในการเทรดและเพิ่มความแม่นยำได้อย่างมาก

 

3. หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูง

ช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูง หมายถึงช่วงที่มีข้อมูลสำคัญและเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อตลาด

ในกรณีนี้ เนื่องจากจำนวนคำสั่งซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง และมีความเสี่ยงที่สเปรดจะขยายตัว รวมถึงบางแพลตฟอร์มที่มีสภาพคล่องไม่ดีอาจมีการหยุดชะงักในการเสนอราคา

แน่นอนว่าหลายคนมองว่าการเทรดในช่วงความผันผวนสูงมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า หากทำได้ดี อาจจะได้กำไรมากกว่าการเทรดระยะสั้นตลอดสัปดาห์ แต่ก็เหมือนที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น หากเกิดการคลาดเคลื่อนในการทำธุรกรรม เกิดหยุดชะงักในการเสนอราคา หรือการปิดออร์เดอร์ที่ไม่สมบูรณ์ ก็อาจทำให้พลาดโอกาสและเกิดการขาดทุนเพิ่มเติม

ดังนั้น คำแนะนำของผมคือ ถ้าคุณต้องการเข้าออเดอร์จริง ๆ ควรใช้คำสั่งแบบจำกัดราคา (Limit Order) แทนการใช้คำสั่งตามราคา (Market Order) เพราะคำสั่งแบบจำกัดราคาจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลื่นไหล

คุณยังสามารถวางแผนล่วงหน้าก่อนการประกาศข้อมูลได้ แต่ความยากคือคุณต้องมีความเข้าใจในอารมณ์ของตลาดและปัจจัยพื้นฐานอย่างเพียงพอ เช่น ในช่วงนี้ ตลาดให้ความสนใจกับข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ดังนั้นคุณต้องทราบถึงระดับเกณฑ์ของเฟดต่ออัตราการจ้างงานและเงินเฟ้อ รวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต่อทิศทางของตลาด


4. ใช้ EA หรือการตามสัญญาณการเทรด

ลักษณะเด่นของการเทรดแบบโปรแกรม (EA) คือการหลีกเลี่ยงข้อบกพร่องของมนุษย์ อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ เทรดเดอร์มักจะตามราคาขึ้นลง แต่ EA ไม่ทำเช่นนั้น นี่คือข้อได้เปรียบของการเทรดด้วย EA

อีกทางเลือกหนึ่งคือการตามสัญญาณการเทรด ซึ่งหมายถึงการติดตามกลยุทธ์ของผู้อื่นเพื่อสร้างรายได้ แต่ก่อนอื่นคุณต้องหาสัญญาณที่เชื่อได้ ตอนนี้มีหลายที่การกรองสัญญาณ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ผมแนะนำให้ใช้ copy trade ของ EBC

นอกจากนี้ Copy trade ที่สร้างโดยแพลตฟอร์มเอง ซึ่งคุ้นเคยกับภาษา MT และทำให้การเทรดตามสัญญาณรวดเร็วขึ้นแล้ว ชุมชน copy trade ของ EBC ยังมีระบบการประเมินหกมิติ ซึ่งเป็นมาตรฐานการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างมืออาชีพ เช่น อัตราผลตอบแทนของ Sharpe, อัตราการลดลงสูงสุด เป็นต้น ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจลักษณะของสัญญาณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเลือกสัญญาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

โดยรวมแล้ว มีหลายวิธีในการลดต้นทุนการเทรด แต่พื้นฐานที่ง่ายที่สุดคือการเลือกแพลตฟอร์มที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของต้นทุนการเทรด แต่ต้องระวังความสอดคล้องของแพลตฟอร์มด้วย นอกจากนี้เราควรฝึกนิสัยการเทรดที่ดี ไม่ไล่ตามราคาขึ้นลงเพียงอย่างเดียว ด้วยวิธีนี้เราจะสามารถขยายโอกาสในการทำกำไรของเราได้มากขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การถือครองทองคำของแต่ละหน่วยงานแตกต่างกันอย่างไร?

ช่วงนี้ตลาดผันผวน เทรดยากขึ้น ทำอย่างไรให้ดี?

เครื่องมือ Pending Order ใน Order Flow