ทำไมแพลตฟอร์มที่มีสภาพคล่องดี ถึงยังมีสเปรดสูง?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สภาพคล่องของแพลตฟอร์ม Forex เป็นที่พูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังเข้าใจเรื่องสภาพคล่องแค่ผิวเผิน และยังไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสภาพคล่องกับสเปรด ซึ่งยังส่งผลต่อการเลือกโบรกเกอร์ Forex ดังนั้นวันนี้เราจะมาคุยกันแบบง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
1. ความแตกต่างของสภาพคล่อง
สภาพคล่องใน Forex คืออะไร? พูดง่ายๆ ก็คือ ความเร็วที่คุณต้องการเปิดคำสั่งซื้อขาย
และส่วนมาก หลายคนคิดว่าสภาพคล่องที่แพลตฟอร์ม คือเชื่อมต่อกับธนาคารให้มากที่สุด
แน่นอนว่าสิ่งนี้ถูกต้อง แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะสภาพคล่องก็มีทั้งดีและไม่ดี จากรายงาน 67% ของสภาพคล่องในตลาดถูกควบคุมโดย 10 ธนาคารและสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
ข้อมูลนี้จะถูกเผยแพร่ทุกปีจากช่อง EUROMONEY (เทรดเดอร์สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้) ตัวอย่างเช่นธนาคาร 8 แห่งที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายในภาพนี้ คือ ธนาคารที่มีครองสภาพคล่องสูงซึ่งคิดเป็น 60% ส่วนสองสถาบันที่วงกลมไว้ XTX และJump Trading เป็นสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารที่มีสภาพคล่องสูงสุดคิดเป็น 20% และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ดังนั้น การเชื่อมต่อกับธนาคารที่มีสภาพคล่องสูง จะทำให้คุณจะได้รับการซื้อขายที่ดี และถูกกว่า เช่น โบรกเกอร์ EBC เชื่อมต่อกับธนาคารชั้นนำที่มีสภาพคล่องสูง 36 แห่ง เช่น JPMorgan, UBS, Deutsche Bank, Citibank และ XTX ด้วย ดังนั้น สภาพคล่องโดยรวมจึงดีมาก นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ผลิตภัณฑ์ EUR/USD บนแพลตฟอร์ม EBC มีสเปรดต่ำสุดถึง 0
2. การส่งต่อสภาพคล่องและต้นทุนการเทรด
จากมุมมองของกลไกการเสนอราคาสภาพคล่อง คุณภาพของสภาพคล่องก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
เนื่องจากเมื่อคำสั่งซื้อของเราได้รับการส่งต่อไปยังธนาคารผ่านแพลตฟอร์ม หากธนาคารที่มีสภาพคล่องต่ำก็ไม่สามารถดำเนินการคำสั่งนั้นได้ คำสั่งนั้นก็จะต้องถูกส่งต่อไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องรายอื่น เพื่อดำเนินการแทน ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า "การส่งต่อสภาพคล่อง"
ต้องระวังว่า กระบวนการนี้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีการส่งต่อสภาพคล่องมากเท่าใด ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งสูงขึ้น
**เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ เราควรทำอย่างไร?**
① ถ้ามีสภาพคล่องดีก็สามารถรองรับคำสั่งซื้อของคุณได้ทันที ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงการส่งคำสั่งไปให้ธนาคารรายอื่นโดยตรง
② แพลตฟอร์มควรจะล็อคสภาพคล่องให้คุณไว้ก่อนที่จะส่งคำสั่งของคุณออกไป ซึ่งนี่เป็นเรื่องของอัลกอริทึม
แพลตฟอร์มที่ดี นอกจากจะมีสภาพคล่องที่มีคุณภาพสูงแล้ว ยังมี HUB ที่เชื่อมต่อสภาพคล่องด้วยฮาร์ดแวร์ระดับสูง และใช้การปรับแต่งสภาพคล่องด้วยอัลกอริทึมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น “ กล่องเก็บข้อมูลธุกรรม EBC ” ใช้อัลกอริทึมจับคู่สภาพคล่องล่วงหน้า เพื่อลดการผิดพลาดของราคาที่ไม่ตรงกัน
เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของอัลกอริทึมนี้ ผมได้เข้าร่วมกิจกรรม "แข่งขันสภาพแวดล้อมเทรด" ของแพลตฟอร์ม EBC ผลพิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อใช้กลยุทธ์เดียวกัน ผลการดำเนินการในแพลตฟอร์ม EBC ดีกว่า โดยเปิดออเดอร์ได้ราคาดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
3. วิเคราะห์ข้อมูลในตลาด
นอกเหนือจากสองประเด็นที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ผมคิดว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ ข้อมูลเท็จ ดังนั้นเราควรตรวจสอบข้อมูลนั้นว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือหรือไม่?
สภาพคล่องไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต้องทดลองจากการเทรดจริง และในตลาดก็มีข้อมูลที่หลอกลวงอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่า การทดสอบด้วยเงินทุนเล็กๆ ในการทดลองถือเป็นไอเดียที่ดี แต่จะดีกว่าไหม ถ้ามีแพลตฟอร์มที่เราใช้ให้ข้อมูลเรามาซึ่งสะท้อนถึงความโปร่งใสของแพลตฟอร์มนั้นด้วย
ข้อมูลที่สะท้อนสภาพคล่องได้ชัดเจนที่สุด ก็คือราคาของสภาพคล่อง แพลตฟอร์มที่มีคุณภาพมักจะให้ข้อมูลราคาสภาพคล่องแบบเรียลไทม์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ โบรกเกอร์ Forex EBC
ประการแรก แพลตฟอร์ม EBC มีระดับการเสนอราคา 5 ชั้น ซึ่งแสดงให้เห็น EBC สามารถรองรับคำสั่งซื้อขายในตลาดได้มากขึ้น
นอกจากนี้ เรายังสามารถเห็นสเปรดที่สอดคล้องกับคำสั่งแต่ละชั้น ซึ่งเราจะรู้ต้นทุนการซื้อขายของเรา ตัวอย่างเช่น สเปรดของ EUR/USD ต่ำสุด 0 สูงสุดเพียง 0.4 จุด แสดงว่าสเปรดอยู่ระหว่าง 0-0.4 จุด เราจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า EBC มีสภาพคล่องที่ดี ไม่เพียงแต่มีความลึกของตลาด และยังมีสเปรดต่ำอีกด้วย
ผมมักจะดูจำนวนคำสั่งในชั้นแรกเสมอ โดยทั่วไป ธนาคารชั้นนำจะให้สภาพคล่องชั้นแรกเพียง 10 สัญญาต่อแพลตฟอร์ม เพราะธนาคารต้องการทำกำไรจากสเปรดของสภาพคล่อง จึงไม่สามารถให้คำสั่งที่ต้นทุนราคาได้ตลอด
อย่างไรก็ตาม ถ้าแพลตฟอร์มมีความน่าเชื่อถือเพียงพอ ธนาคารจะพิจารณาให้สภาพคล่องชั้นแรกมากขึ้น ดังนั้นจำนวนคำสั่งในชั้นแรกก็สามารถสะท้อนคุณภาพของแพลตฟอร์มได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม EBC มีคำสั่งในชั้นแรกถึง 40 สัญญา ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานทั่วไปในอุตสาหกรรม
หากแพลตฟอร์มมีเพียง 1-2 ชั้นของการเสนอราคา จำนวนคำสั่งในชั้นแรกน้อย และมีสเปรดสูงหรือมีช่องว่างของการเสนอราคา ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยง!
โดยสรุป การพิจารณาคุณภาพของสภาพคล่องบนแพลตฟอร์มไม่เพียงแต่ดูที่ปริมาณ แต่ต้องดูคุณภาพด้วย และดูว่าแพลตฟอร์มมีความแตกต่างอย่างไรในอัลกอริทึมสภาพคล่อง คุณสามารถทดสอบด้วยเงินทุนเล็กๆ หรือดูข้อมูลการเสนอราคาที่แพลตฟอร์มให้ เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแพลตฟอร์มได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น