แนะนำแพลตฟอร์ม (STP) สำหรับมือใหม่

หากคุณเพิ่งเริ่มต้นการซื้อขาย ขอแนะนำให้เลือกแพลตฟอร์มที่มีการส่งคำสั่งซื้อตรงไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยไม่ผ่านการจัดการคำสั่งซื้อเอง (STP) เท่านั้น!

สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในการซื้อขายจะรู้ว่าแพลตฟอร์มฟอเร็กซ์มีสามประเภทหลักคือ MM, STP และ ECN

เราจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภท แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการซื้อขาย ผมคิดว่าโหมด STP เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด

ทำไมโหมด STP ถึงเหมาะกับผู้เริ่มต้นการซื้อขาย?

1. โหมด STP จะส่งคำสั่งซื้อไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรง แพลตฟอร์มจะไม่จัดการคำสั่งซื้อของผู้ใช้

ข้อดีของการทำเช่นนี้คือแพลตฟอร์มจะอยู่ข้างเดียวกับผู้ใช้ โดยคำสั่งซื้อจะถูกส่งไปยังธนาคารซึ่งจะทำการซื้อขายทันทีตามราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ผู้ใช้ต้องการ ทำให้ได้ราคาจริงหรือราคาต้นฉบับ

หากแพลตฟอร์มเป็นผู้จัดการคำสั่งซื้อ แพลตฟอร์มอาจให้ราคาที่แตกต่างกับผู้ใช้ ซึ่งอาจเพิ่มกำไรให้กับแพลตฟอร์มแต่ทำให้ต้นทุนการซื้อขายของผู้ใช้สูงขึ้น

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าแพลตฟอร์มที่จัดการคำสั่งซื้อของผู้ใช้นั้นจะเพิ่มกำไรเสมอไป ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์ของแพลตฟอร์ม แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการซื้อขาย แพลตฟอร์มที่ส่งคำสั่งซื้อไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องโดยตรงเป็นกลไกเพิ่มเติมที่ช่วยป้องกันการเพิ่มต้นทุนการซื้อขาย

2. โหมด STP มีเกณฑ์การเข้าร่วมที่ต่ำกว่า

หลายคนชอบเปรียบเทียบโหมด ECN และ STP แพลตฟอร์มทั้งสองแบบนี้จะไม่จัดการคำสั่งซื้อเอง

แต่เมื่อเทียบกันแล้ว บัญชี STP อาจมีเกณฑ์การฝากเงินเพียง 200 ดอลลาร์ ในขณะที่บัญชี ECN อาจต้องใช้เงินฝากอย่างน้อย 5,000 ดอลลาร์ ดังนั้น ECN เหมาะกับผู้ที่มีเงินทุนมากกว่า

หากคุณเพิ่งเริ่มต้นการซื้อขาย เราขอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยบัญชี STP เพื่อทำความคุ้นเคย

ควรระวังสิ่งเหล่านี้เมื่อเลือกแพลตฟอร์ม STP

แม้ว่าโหมด STP เหมาะสมกับผู้เริ่มต้นการซื้อขาย แต่ก็มีข้อควรระวัง

1. คุณต้องแน่ใจว่าแพลตฟอร์มมีสภาพคล่องเพียงพอ

เมื่อแพลตฟอร์มส่งคำสั่งซื้อทั้งหมดไปยังธนาคาร การเชื่อมต่อกับธนาคารมากขึ้นจะช่วยให้มีสภาพคล่องมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มหนึ่งเชื่อมต่อกับธนาคาร 2 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งสามารถจัดการคำสั่งซื้อได้ 20 สัญญา แต่ถ้าคุณต้องการซื้อ 100 สัญญา แพลตฟอร์มนี้สามารถจัดการได้เพียง 40 สัญญา ที่เหลืออาจถูกปฏิเสธหรือซื้อขายในราคาที่แย่ลง

ดังนั้น ควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีสภาพคล่องดี เช่น แพลตฟอร์ม EBC ที่เชื่อมต่อกับธนาคารชั้นนำกว่า 36 แห่ง ซึ่งรวมถึง JPMorgan, Citibank, UBS และ Deutsche Bank นี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะกว่า 60% ของสภาพคล่องทั่วโลกอยู่ในมือของธนาคารและสถาบันการเงินชั้นนำ 10 แห่ง โดย EBC เชื่อมต่อกับ 9 ใน 10 ธนาคารเหล่านี้ ทำให้มีสภาพคล่องดีกว่าแพลตฟอร์มทั่วไป

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ แพลตฟอร์มทั่วไปอาจมีสภาพคล่องในระดับแรกประมาณ 10 สัญญา และมีเพียง 1-2 ราคาข้อเสนอ แต่แพลตฟอร์ม EBC มีสภาพคล่องในระดับแรกกว่า 40 สัญญา และมี 5 ราคาข้อเสนอ ทำให้มีการจับคู่คำสั่งซื้อที่ดีกว่า EURUSD สามารถซื้อขายได้ที่ 0 สเปรด

2. คุณต้องหาแพลตฟอร์ม STP ที่แท้จริง

ถ้าแพลตฟอร์มไม่ใช่ STP ที่แท้จริง อาจเป็นแพลตฟอร์มที่มีการปั่นเงิน ทำให้ไม่มีความปลอดภัย

ทุกการควบคุมจะมีวิธีการตรวจสอบเฉพาะตัว ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบได้

ตัวอย่างเช่น การควบคุมโดย FCA ของอังกฤษ เพียงแค่เปิดเว็บไซต์ตรวจสอบและใส่หมายเลขการควบคุมก็สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ เช่น แพลตฟอร์ม EBC มีหมายเลขการควบคุม FCA 927552 สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของ FCA

ขั้นแรก ดูที่สถานะของบริษัท (Firm Status) หากสถานะและประเภทเป็น Authorised และ Regulated แสดงว่า EBC เป็นแพลตฟอร์มที่มีการควบคุมเต็มรูปแบบ นี่เป็นขั้นตอนแรกเพราะ STP ต้องเป็นแพลตฟอร์มที่มีการควบคุมเต็มรูปแบบ

ขั้นที่สอง ดูที่ข้อจำกัด (Restrictions) ในส่วนของ Client Money ต้องเป็น This firm can hold and can control client money เพื่อแสดงว่ามีใบอนุญาตดำเนินการ หากเป็น can not hold and can not control แสดงว่าเป็นใบอนุญาตให้คำปรึกษาการลงทุน ไม่มีใบอนุญาตดำเนินการ

ขั้นที่สาม คุณสามารถตรวจสอบว่าเป็นใบอนุญาต STP หรือไม่ ดูในส่วนของ Investments หาหัวข้อ Limitation

ถ้าเจอ Limited Licence - matched principal broker แสดงว่าแพลตฟอร์ม EBC เป็นใบอนุญาต STP ที่มีการควบคุมเต็มรูปแบบ

การตรวจสอบส่วนใหญ่จะคล้ายกัน คุณเพียงแค่ต้องแน่ใจว่าเป็นการควบคุมเต็มรูปแบบ มีใบอนุญาตดำเนินการ และการควบคุมที่ระบุใบอนุญาต STP

3. ระวังต้นทุนการซื้อขาย

ในโหมด STP ต้นทุนการซื้อขายจะมีเพียงสเปรดซึ่งเป็นรายได้หลักของแพลตฟอร์ม

แต่มีบางแพลตฟอร์มที่จะเพิ่มต้นทุนการซื้อขายอย่างลับ ๆ ทำให้สเปรดจริงสูงกว่าที่เห็น คุณสามารถทดสอบด้วยเงินทุนจำนวนน้อยๆ หลายครั้งเพื่อดู

นอกจากนี้ ควรดูที่สเปรดจริง โดยใช้มาตรฐานของอุตสาหกรรมเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น XAUUSD มีสเปรดเฉลี่ยในอุตสาหกรรมประมาณ 2.8 ถ้าต่ำกว่ามาตรฐานนี้สามารถพิจารณาได้

ต้องระวังไม่ให้สับสนระหว่างโหมด ECN และ STP โหมด ECN จะมีสเปรดต่ำกว่า แต่จะมีค่าธรรมเนียมคงที่ บางแพลตฟอร์มจะโฆษณาสเปรด ECN เป็นสเปรด STP เพื่อหลอกลวงนักลงทุน

จริง ๆ แล้วในโหมด STP สเปรดต่ำสุดที่มีในอุตสาหกรรมสำหรับ XAUUSD คือ 1.9 ของ EBC ดังนั้นเมื่อเห็นข้อมูลสเปรดควรตรวจสอบให้แน่ใจ

สรุปแล้ว โหมด STP เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นการซื้อขาย แต่ต้องระวังสภาพคล่องของแพลตฟอร์มและใบอนุญาตการควบคุม ถ้าคุณพบแพลตฟอร์มที่มีคุณสมบัติเหล่านี้และมีสเปรดที่แท้จริง นั่นคือแพลตฟอร์มที่คุณสามารถเข้าร่วมได้

 

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การถือครองทองคำของแต่ละหน่วยงานแตกต่างกันอย่างไร？

รูปภาพ
การติดตามข้อมูลการถือครองทองคำ เพื่อใช้ศึกษาทิศทางของราคาทองคำ ในปัจจุบัน ข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองทองคำ มีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่: 1. การถือครองทองคำของธนาคารกลาง 2. กองทุน ETF ทองคำ 3. ข้อมูลการถือครองจาก CFTC 4. ข้อมูลการถือครองทองคำใน COMEX แบบเรียลไทม์ แล้วทั้ง 4 ประเภทนี้ มีความแตกต่างอย่างไร？ 1.การสำรองทองคำของธนาคารกลาง การซื้อทองคำของธนาคารกลาง ได้รับความสนใจมากในปีนี้ เนื่องจากนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น ก็คือการที่ธนาคารกลางหลายประเทศมีบทบาทในการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น ทองคำทั่วโลกที่ขุดขึ้นมา ส่วนมากจะถูกเก็บไว้ในธนาคารกลาง โดยถือครองทองคำรวมกันประมาณ 27,734.3 ตัน ซึ่งแบ่งตามภูมิภาคดังนี้:  ① ทวีปยุโรปตะวันตก ถือครองมากที่สุดที่ 10,733.58 ตัน ② ทวีปอเมริกาเหนือ ถือครอง 8,133.46 ตัน แต่ประเทศแคนาดาไม่มีการสำรองทองคำ ดังนั้น สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศที่มีการสำรองทองคำมากที่สุดในอเมริกาเหนือ ③ ทวีปเอเชียตะวันออก ถือครองทองคำ 3,110.29 ตัน ธนาคารกลางทั่วโลกทั้ง 3 ทวีปนี้ ถือครองทองคำมากที่สุด แต่เมื่อเทียบกับทองคำที่อยู่ใน กองทุน ETF ทองค (Gold ET...
อ่านเพิ่มเติม

ช่วงนี้ตลาดผันผวน เทรดยากขึ้น ทำอย่างไรให้ดี?

รูปภาพ
นับตั้งแต่การเลือกตั้งสหรัฐฯ สิ้นสุดลง ความผันผวนของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และสินทรัพย์บางประเภทดูเหมือนจะเข้าสู่จุดเปลี่ยน ซึ่งทำให้มีโอกาสในการเทรดระหว่างวันเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราจะทำการเทรดระหว่างวันอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ? 1. เลือกช่วงเวลาเทรดให้เหมาะสม ขั้นตอนแรกของการทำการซื้อขายระหว่างวัน (Day Trading) คือ การกำหนดช่วงเวลาการซื้อขายให้ชัดเจน คำแนะนำ ควรเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมที่อยู่ในช่วง 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง หากเลือกกรอบเวลาที่มากกว่า 4 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น อาจทำให้อินดิเคเตอร์ทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ 2. การซื้อขายในช่วงกรอบราคา (Range Trading) ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การเทรดจากฝ่ายซื้อและฝ่ายขายจะรุนแรงมาก ดังนั้นแนวโน้มราคามักจะเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ ภายในช่วงกรอบราคา เช่น เครื่องมือ OrderFlow ของ EBC ที่แสดงการกระจายของคำสั่งซื้อต่างๆ คุณจะสามารถเห็นช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแบบSide ways โดยทั่วไป ช่วงที่ราคามีการกระจายตัวของคำสั่ง มักจะมากกว่าช่วงที่ราคามีการทะลุแนวรับหรือแนวต้าน ดังนั้น สำหรับการเทรดระหว่างวัน การซื้อขายในกรอบราคาอาจเปิดโอกาสให้ทำกำไรจากการขายที่ราคาสู...
อ่านเพิ่มเติม

เครื่องมือ Pending Order ใน Order Flow

เมื่อเร็ว ๆ นี้เครื่องมือ Order Flow ของโบรกเกอร์ EBC มีเครื่องมือการซื้อขายแบบ Pending Order หรือการกระจายของคำสั่งซื้อล่วงหน้า เครื่องมือที่เราใช้กันบ่อย คือ แผนภูมิการกระจายคำสั่งที่ได้ดำเนินการแล้วในเครื่องมือ Order Flow ซึ่งแสดงถึงคำสั่งซื้อขายที่เกิดขึ้นในตลาด โดยช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของแรงซื้อขายในตลาดและเปรียบเทียบกันได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น บริเวณที่มีการสะสมของปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่น มักจะมีแนวโน้มราคาที่เคลื่อนไหวแบบทรงตัว และจุดที่มีการทะลุแนวราคามักเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย คุณสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า ยิ่งมีการสะสมของปริมาณการซื้อขายมากเท่าไร การแย่งชิงในตลาดก็ยิ่งรุนแรง ซึ่งทำให้ราคาคงตัวอยู่ในช่วงแคบ ๆ แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มหมดแรงในการสะสมปริมาณการซื้อขาย ฝ่ายที่ได้เปรียบก็สามารถผลักดันราคาให้เคลื่อนไหวได้ด้วยการซื้อขายเพียงเล็กน้อย จากการสะสมของปริมาณการซื้อขายและการเคลื่อนไหวของคำสั่งซื้อในตลาด คุณสามารถใช้ข้อมูล Order Flow ( การไหลของคำสั่งซื้อ)  ในอดีตมาช่วยในการหาจุดที่อาจเป็นแนวรับและแนวต้านในตลาดได้ แต่บางครั้งเราก็อาจเจ...
อ่านเพิ่มเติม